ส่วนมากคนถ่ายรูปในบริเวณนี้เพื่อให้เห็นสะพานปงดูว์การ์เป็นแบคกราวน์ของภาพ |
นพฬวรรณเขียนบล็อกมาหลายตอนส่วนมากจะเขียนเกี่ยวกับวิถีชีวิต ขนมธรรมเนียมและวัฒนธรรมของคนฝรั่งเศสที่นพฬวรรณได้พบเจอเมื่อมาใช้ชีวิตอยู่ที่ฝรั่งเศสตอนใต้ แต่การเขียนบล็อกตอนนี้นพฬวรรณจะเขียนเกี่ยวกับสถานที่เที่ยวบ้างนะคะ..ซึ่งสถานที่ที่นพฬวรรณจะเขียนถึงคือ สะพานส่งน้ำปงดูว์การ์ (Pont du Gard)
สะพานส่งน้ำปงดูว์การ์นับว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญแห่งหนึ่งของแคว้นล็องด็อก-รูซียง (Languedoc-Roussillon) ซึ่งสะพานนี้สร้างพาดผ่านแม่น้ำการ์ดงในเขตเมืองนีมส์ (Nîmes) ซึ่งเป็นเมืองเอกของจังหวัดการ์ (Gard) และบ้านนพฬวรรณที่ฝรั่งเศสอยู่ที่เทศบาล Aigues Mortes ซึ่งขึ้นกับเมืองนิมส์ นพฬวรรณจึงไปเที่ยวสะพานส่งน้ำปงดูว์การ์เป็นครั้งที่2 แล้ว และถ้ามีโอกาสนพฬวรรณก็จะกลับไปอีกเพราะที่ปงดูว์การ์ยังคงอนุรักษ์ความเป็นธรรมชาติได้ดี ทุกครั้งที่ไปได้ยินเสียงจักจั่นเรไรด้วยคะ อากาศดีสดชื่นและที่สำคัญเราสามารถเรียนรู้ประวัติศาสตร์ของสถานที่แห่งนี้ จากสื่อมัลติมิเดียต่างๆภายในพิพิธภัณฑ์ของปงดูว์การ์ ซึ่งนพฬวรรณคิดว่าเป็นห้องสมุดขนาดใหญ่ที่ทันสมัยทำให้เราสามารถเรียนรู้และจินตนาการ ได้ถึงการสร้างสะพาน ความยิ่งใหญ่และประโยชน์ของสะพานแห่งนี้ในประวัติศาสตร์ได้คะ
ปงดูว์การ์ เป็นสะพานส่งน้ำที่สร้างโดยจักรวรรดิโรมัน ซึ่งหากเป็นสมัยนี้ก็คือท่อประปานั่นเอง โดยสร้างพาดผ่านแม่น้ำการ์ดง ซึ่งสะพานนี้เป็นส่วนหนึ่งของระบบส่งน้ำของเมืองนีมส์ ซึ่งมีความยาวกว่า 50 กิโลเมตร โดยส่งน้ำจากจากเมืองอูว์แซ็ส (Uzés)ไปยังเมืองนีมส์แต่ระหว่างเมืองอูว์แซ็สและเมืองนีมส์ภูมิประเทศเป็นหุบเขาและมีแม่น้ำการ์ดงอยู่ระหว่างหุบเขา ระบบส่งน้ำที่ส่วนใหญ่อยู่ใต้ดิน จึงย้ายมาสร้างอยู่บนสะพานเพื่อข้ามผ่านแม่น้ำการ์ดง
โครงสร้างของปงดูการ์เป็นรูปแบบสะพานหิน 3 ชั้น |
นักประวัติศาสตร์ฝรั่งเศสคาดการณ์ว่า ผู้ที่คุมการก่อสร้างสะพานส่งน้ำแห่งนี้คือ Mercus Vipsanius Agrippa เป็นผู้ที่มีความสามารถด้านวิศวกรรม และเป็นบุคคลสำคัญของจักรพรรดิAugustus กษัตริย์ผู้ปกครองจักรวรรดิโรมันยุคที่มีความเจริญสูงสุด ทั้งนี้มาร์คัสเป็นผู้ที่รับผิดชอบดูแลด้านการหาแหล่งน้ำและส่งน้ำเข้ามายังกรุงโรม และดินแดนอาณานิคม ซึ่งรวมทั้งทางภาคใต้ของฝรั่งเศส ดังนั้นนักประวัติศาสตร์จึงเชื่อว่ามาร์คัสน่าจะเป็นผู้ทีทำการดูแลก่อการสร้างสะพานแห่งนี้ โดยเริ่มสร้างเมื่อ 19 ปีก่อนคริสต์กาล และใช้เวลา15 ปีจึงแล้วเสร็จ ใช้คนงานไม่ต่ำกว่า 1000 คน (ใช้เวลาสร้างถึง 15ปีฉะนั้นถ้าจะจำว่าสร้างราวคริสต์ศตวรรษที่ 1อย่างที่วิกิพิเดียกล่าวว่าก็น่าจะจำได้ง่ายกว่านะคะ)
รูปแบบการก่อสร้างของปงดูว์การ์ที่สร้างมานานกว่า 2,000 ปีนี้ ได้รับการยอมรับว่าเป็นความชาญฉลาดในการออกแบบของวิศวกรสมัยโบราณที่สามารถ สร้างขึ้นโดยไม่ต้องใช้เทคโนโลยีใดๆ ทำให้สิ่งก่อสร้างที่ใหญ่โตแห่งนี้นำมาใช้เป็นประโยชน์ให้กับประชากรในเมืองนีมส์ โดยคาดว่าสามารถส่งน้ำเข้าเมืองได้ประมาณวันละ 200,000 ลูกบาศก์เมตร น้ำที่ไหลผ่านปงดูว์การ์นี้ถูกนำไปใช้ในบ้านเรือน, โรงอาบน้ำสาธารณะ และน้ำพุใจกลางเมือง
หลังจากที่จักรวรรดิโรมันล่มสลาย ปงดูว์การ์ยังมีการใช้งานเพื่อขนส่งน้ำอีกระยะหนึ่ง และหยุดการใช้งานใน ค.ศ. 6 ต่อมา แตยังคงใช้สะพานเป็นทางเดินข้ามแม่น้ำ และด้วยความยิ่งใหญ่ของโครงสร้างสะพานทำให้ในช่วงศตวรรษที่ 17-18มีนักท่องเที่ยวจากทั่วยุโรปสนใจมาเที่ยวชม ฉะนั้นผู้ปกครองท้องถิ่นของเมืองนีมส์จึงหารายได้จากนักท่องเที่ยวเพื่อนำเงินมาซ่อมแซมสะพานที่เริ่มผุกร่อนไปตามกาลเวลา
ในช่วงศวรรษที่ 18-21 มีการซ่อมแซมตัวสะพานอย่างจริงจัง โดยบุคคลที่มีส่วนสำคัญคือ พระเจ้านโปเลียนที่ 3 ที่เดินทางมาเที่ยวปงดูการ์เมื่อปี 1850 จากนั้นโปรดให้สถาปนิกของรัฐบาลฝรั่งเศสมาดูแลซ่อมแซมระหว่างปี 1855-1858 สะพานส่งน้ำแห่งนี้จึงถูกบูรณะขึ้นมาใหม่ และทำพื้นที่สำหรับให้นักท่องเที่ยวเข้าไปดูได้อย่างใกล้ชิด
ในปี 1985 องค์การยูเนสโกได้ขึ้นทะเบียนปงดูว์การ์เป็นมรดกโลกประเภทที่มีความสำคัญด้านประวัติศาสตร์ ทำให้เป็นที่สนใจของนักท่องเที่ยวทั่วโลก และเป็นสถานที่สำคัญของฝรั่งเศสทางตอนใต้
เมื่อถึงปี 2000 ทางการเมืองได้พัฒนาสถานที่แห่งนี้อย่างจริงจัง มีการตั้งพิพิธภัณฑ์และศูนย์ข้อมูลด้านการท่องเที่ยว พร้อมทั้งพัฒนาเขตที่อยู่ใกล้สะพานไม่ให้มีการก่อสร้างอาคาร หรือมีรถเข้าไปจอดใกล้สะพาน เพราะกลัวว่ามลพิษจากรถและคราบน้ำมันจะทำให้ปงดูว์การ์เสียหาย จึงทำให้ปงดูว์การ์สามารถอนุรักษ์ความเป็นธรรมชาติได้ดีดังที่นพฬวรรณกล่าวข้างต้น
ทางเดินไปสะพานปงดูการ์ร่มครึ้มด้วยแมกไม้สองข้างทางและด้านซ้ายคือร้านอาหาร |
นพฬวรรณทำให้ทุกคนในครอบครัว(ฝรั่ง)ยอมรับให้ข้าวเหนียวเป็นหนึ่งในอาหารที่นำทานตอนมาเที่ยวปงดูการ์ |
นพฬวรรณและครอบครัวนำอาหารมาทานที่ปงดูการ์ |
หลังจากทานอาหารกลางวันกันเสร็จพวกเราพากันเดินขึ้นไปบนสะพานปงดูว์การ์และทางเดินขึ้นสะพานนั้นไม่ได้เป็นขั้นบันไดหากแต่เป็นทางที่ค่อยๆลาดชันไปสู่สะพานทำให้เดินขึ้นได้โดยไม่เหนื่อยมากและในอดึตสะพานนี้ใช้เป็นทางเดินข้ามแม่น้ำการ์ดงหรือข้ามไปยังหุบเขาอีกด้านหนึ่ง ฉะนั้นถ้าทางขึ้นเป็นขั้นบันได บรรดารถม้าหรือเกวียนลากคงขึ้นสะพานไปไม่ได้
ทางเดินที่ค่อยๆลาดชันขึ้นสู่สะพานปงดูว์การ์ |
ทางเดินบนสะพานที่ฐานรากชั้นที่ 1 เป็นตอม่อสะพานที่มีความหนา |
ระหว่างหุบเขาเป็นแม่น้ำการ์ดงแต่เมื่อมองไปที่แม่น้ำจะเห็นได้ว่าระดับน้ำค่อนข้างแห้งขอดเมื่อปีที่ 2014แล้วมาเที่ยวที่นี่ช่วงเดือนกรกฎาคมก็มีน้ำประมาณนี้คะ (แต่ในประวัติศาสตร์แม่น้ำแห่งนี้ไม่ได้แห้งขอดเช่นนี้เป็นเพราะเวลาผ่านมานับพันปีทำให้ภูมิศาสตร์เปลี่ยนส่งผลให้น้ำในแม่น้ำตื้นเขินลง) และถึงแม้ว่าระดับน้ำค่อนข้างแห้งขอดแต่นพฬวรรณก็เห็นนักท่องเที่ยวบางคนใส่ชุดว่ายน้ำลงไปเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน (แต่นพฬวรรณไม่ได้ใส่ชุดว่ายน้ำลงไปเล่นน้ำนะคะ เพราะไม่อยากเป็นปลาพะยูนเกยตื้น..อิอิ)
จากกลางสะพานมองมาที่แม่น้ำการ์ดงจะเห็นได้ว่าระดับน้ำค่อนข้างแห้งขอด |
นักท่องเที่ยวบางส่วนลงไปเล่นน้ำในแม่น้ำการ์ดง |
เมื่อเดินข้ามสะพานมาอีกฝั่งของแม่น้ำก็มีทางเดินไปพิพิพิธภัณฑ์และระหว่างทางเดินไปพิพิพิธภัณฑ์ก็มีสิ่งที่น่าสนใจและ ภายในพิพิธภัณฑ์ก็มีประเด็นและความน่าสนใจอีกมากมายเกี่ยวกับการจัดทำสื่อ มัลติมีเดียต่างๆที่ให้ความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของสะพานปงดูว์การ์ ถ้านพฬวรรณจะเขียนให้หมดในตอนนี้ก็จะเป็นบทความที่ยาวเกินไป ถ้าเช่นนั้นนพฬวรรณขอไปเขียนเล่าถึงประเด็นดังกล่าวและค่าบริการที่นักท่องเที่ยวต้องจ่ายในการเข้าชมสะพานปงดูว์การ์นี้ใน"นพฬวรรณพาเที่ยวสะพานส่งน้ำ Pont du Gard ตอนที่ 2" ..อย่าลืมติดตามอ่านกันนะคะ..