วันอาทิตย์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2559

ขี่จักรยานบนเส้นทางรถไฟประวัติศาสตร์และชมทิวทัศน์อันงดงามที่ภูเขาลาค์แซค (Larzac)

ชื่อบล็อกคือ "เที่ยวฝรั่งเศสตอนใต้ไปกับนพฬวรรณ" ทว่านพฬวรรณไม่ได้เล่าถึงเรื่องเที่ยวซะเท่าไหร่แต่จะเล่าถึงเรื่องการเรียนรู้ต่างๆที่เกิดขึ้นขณะมาอาศัยอยู่ที่ฝรั่งเศสตอนใต้ซะมากกว่า ฉะนั้นในการเขียนบล็อกตอนนี้จะพาไปเที่ยวจริงๆล่ะค่ะ

ถ้าพูดถึงภาคใต้ของฝรั่งเศสคนส่วนมากจะนึกถึงเมืองใหญ่ๆเช่น เมืองมงต์เปลิเยร์ที่ใหญ่เป็นอันดับ 8 ของฝรั่งเศส, เมืองลิยง(ใหญ่เป็นอันดับที่ 3)ที่ได้รับการขนานนามว่าเมืองหลวงของแสงสว่างนอกจากนั้นยังมีชื่อเสียงด้านอาหารจนกลายเป็นศูนย์กลางทางโภชนาการที่สำคัญของฝรั่งเศส,เมืองตูลูซซึ่งนับว่าเป็นศูนย์กลางด้านอุตสาหกรรมการบินของโลก เนื่องจากเป็นที่ตั้งของโรงงานแอร์บัส , โรงงานผลิตคองคอร์ดเครื่องบินความเร็วสูง, โรงงานผลิตรถไฟความเร็วสูง TGVรวมถึงเป็นที่ตั้งของสถาบันศึกษาอวกาศแห่งชาติตูลูซซึ่งได้ขึนชื่อว่า"นาซ่าแห่งยุโรป", แคว้นโพว็องว์ที่มีท้องทุ่งอันสวยงามไปด้วยสีม่วงและอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของดอกลาเวนเดอร์  หรือเมืองท่าที่สำคัญของประเทศอย่างมาร์คแซย์ซึ่งใหญ่เป็นอันดับ2ประเทศ  ฯลฯ ซึ่งเมืองใหญ่ๆที่กล่าวเป็นตัวอย่างนั้นส่วนมากจะมีผู้เขียนถึงการไปเที่ยวเมืองเหล่านี้แล้วจำนวนมาก ฉะนั้นนพฬวรรณจะขอพาไปเที่ยวขี่จักรยานบนเส้นทางรถไฟประวัติศาสตร์และชมทิวทัศน์อันงดงามที่ภูเขาลาค์แซคLarzac ในเขตเมืองคอแดซ(Rodez : เห็นชื่อเมืองก็ไม่คุ้นแล้วใช่ไหมล่ะ..อิอิ)ซึ่งนับเป็นเมืองศูนย์กลางทางเกษตรกรรม และการไปเที่ยวในครั้งนี้ก็สร้างความประทับใจในธรรมชาติและทำให้เห็นฝรั่งเศสในอีกมุมหนึ่งที่มีความเป็นชนบทและธรรมชาติจริงๆ ถ้าอย่างนั้นเริ่มเรื่องเลยนะคะ..

เจ้าหน้าที่ของศาลากลางจังหวัดเอโร Hérault ที่ตั้งอยู่เมืองมงต์เปลิเยร์กับเจ้าหน้าที่ตำรวจแห่งชาติของเมืองมงต์เปลิเยร์ร่วมกันจัดนำเที่ยวสำหรับครอบครัวของ 2 กลุ่มข้าราชการนี้โดยใช้ชื่อทริปว่า " Journée familiale et culturelle dans l' Aveyron, dimanche 18 septembre 2016 ซึ่งหมายถึงประมาณว่าวันครอบครัวและวัฒนธรรมในจังหวัดอเวรอน(Aveyron),ในวันอาทิตย์ที่ 18 ก.ย.2559" แว๊บแรกที่เห็นชื่อจังหวัดที่จะไปเที่ยวกันนพฬวรรณรู้สึกเฉยๆเพราะไม่เคยได้ยินชื่อจังหวัดนี้มาก่อน แต่พอได้อ่านรายละเอียดของกิจกรรมในทริปนี้ซึ่งมี 3 กิจกรรมด้วยกันคือ 1.ขี่จักรยานบนเส้นทางรถไฟประวัติศาสตร์และชมทิวทัศน์อันงดงามที่ภูเขาลาค์แซค 2. ทานอาหารกลางวันที่ร้านอาหารในท้องทุ่งกว้างใหญ่ที่หมู่บ้าน Gaillac(กายล้าก)ซึ่งเป็นการปรุงอาหารตามแบบฉบับของชาวอเวรอนและ 3.ตอนบ่ายไปเที่ยวชมพิพิทธภัณฑ์ที่ีแสดงให้เห็นถึงประเพณีและวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนในอดีตที่อยู่ทางใต้ของจังหวัดอเวรอน พอทราบถึงกิจกรรมในทริปนี้เท่านั้นแหละค่ะ..รีบตัดสินใจไปทันทีโดยไม่ถามถึงสุขภาพของตนเองและสามีซักคำ(ว่าไหวไหม..อิอิ)

ขี่จักรยานบนเส้นทางรถไฟประวัติศาสตร์และชมทิวทัศน์อันงดงามที่ภูเขาลาค์แซค(Larzac) :
ความที่ไม่เคยได้ยินชื่อของจังหวัดนี้มาก่อน ก่อนจะไปเที่ยวจึงหาข้อมูลของจังหวัดนี้สักหน่อยทำให้ทราบว่า จังหวัด อเวรอนนี้เป็นจังหวัดหนึ่งที่อยู่ในแคว้น Occitanie เป็นชื่อแคว้นใหม่ที่รวมแคว้น Languedoc-Rousillon กับ Midi-Pyrénéesเข้าด้วยกัน (การปรับเปลี่ยนการจัดแคว้นใหม่เพิ่งจะปรับใช้เป็นทางการในวันที่ 29 กย. 2016)ซึ่งเป็นแคว้นเดียวกับเมืองมงต์เปลิเยร์ที่ตนเองและสามีทำงานอยู่ และจังหวัดอเวรอนนี้อยู่ทางทิศเหนือของเมืองมงต์เปลิเยร์ ซึ่งเมืองหลวงของจังหวัดอเวรอนนี้คือ รอแดซ( Rodez) และสถานที่ที่จะไปขี่จักรยานบนเส้นทางรถไฟประวัติศาสตร์นี้อยู่บนภูเขา Larzac ตามที่กล่าวมาแล้วข้างต้น และ Larzacยังเป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติCausses ที่ได้รับการจดทะเบียนขึ้นเป็นมรดกโลกในด้านภูมิทัศน์วัฒนธรรมของการเกษตรในแถบเมดิเตอร์เรเนียนเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2011 นี้ด้วยค่ะ (https://translate.google.fr/translate?hl=th&sl=fr&u=http://hautes-cevennes.com/%3Fpage_id%3D868&prev=search)

พวกเราออกจากมงต์เปลิเยร์ประมาณ 07.30 น.ด้วยรถบัสขนาดใหญ่ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงก็มาถึงจุดหมายปลายทางคือสถานีรถไฟSainte Eulalie de Cernon ( แซนเตอะ เออลาลี เดอ เซค์นง)พอลงจากรถบัสทุกคนก็สัมผัสได้กับอากาศที่หนาวเย็นและสั่นหงั่กๆไปตามๆกัน ก็ตอนอยู่ที่มงต์เปลิเยร์เมื่อชั่้วโมงที่แล้วยังไม่หนาวอย่างนี้เลย เพราะวันที่ไปเที่ยวเป็นวันที่ 18 กย. นับว่าเป็นปลายฤดูร้อนและกำลังเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงซึ่งจะมีอากาศเย็นสบาย(ฤดูใบไม้ร่วงอุณหภูมิประมาณ 15-25 องศา) ทุกคนจึงแต่งตัวแบบฤดูใบไม้ร่วงคือใส่กางเกงขายาว,รองเท้าผ้าใบและใส่เสื้อแจ็กเก็ตคลุมเท่านั้นไม่มีใครใส่เสื้อโค้ทตัวยาวหรือรองเท้าบู๊ทแบบหน้าหนาว แต่อากาศที่นั่นวันนั้นประมาณ 5 องศา มันเกิดอะไรขึ้นพอตั้งสติได้ก็มองไปรอบๆ อ๋อนึกออกแล้วที่หนาวกว่าปกติก็เพราะว่าสถานีรถไฟแห่งนี้อยู่บนภูเขาลาค์แซคนั่นเองที่บนภูเขาย่อมหนาวกว่าพื้นที่ราบเป็นธรรมดาแถมมีลมอีก..ทีนี้ละหนาวกันเข้าไปใหญ่และเรียกว่าหนาวสั่นกันทั้งทริปเลย..หุหุ...

ยืนยิ้มแฉ่งถ่ายรูปกับหัวรถไฟที่ติดป้ายโฆษณาการท่องเที่ยวบนรางรถไฟที่ภูเขา Larzac จะได้รู้ว่าเค้ามาถึงแล้วนะตะเอง..อิอิ..


ความที่ไม่ได้หาข้อมูลก่อนมาเที่ยวจึงมีคำถามในใจว่าทำไมถึงเรียกว่าเส้นทางรถไฟประวัติศาสตร์แต่พอมาถึงสถานีรถไฟSainte Eulalie de Cernon คำถามต่างๆก็เริ่มกระจ่างขึ้นเมื่อเจ้าหน้าที่ได้เล่าเกี่ยวกับประวัติของเส้นทางรถไฟสายนี้ว่า..เส้นทางรถไฟสายนี้สร้างมานานแล้วตั้งแต่สมัยก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 คือสร้างเมื่อปีคศ. 1890(สงครามโลกครั้งที่1เกิดขึ้นปี 1914) และได้หยุดการเดินทางโดยรถไฟเส้นทางนี้ลงในปี1950 หรือเมื่อประมาณ 66 ปีที่แล้ว ที่ต้องหยุดการให้การบริการเดินทางโดยรถไฟเนื่องจากผู้คนเดินทางโดยรถไฟเส้นทางนี้น้อยมากซึ่งไม่คุ้มกับค่าใช้จ่ายต่างๆจึงต้องปิดตัวลงในที่สุด เส้นทางรถไฟนี้อยู่บนภูเขาลาค์แซค ซึ่งที่ราบลุ่มด้านล่างมีหมู่บ้านSainte Eulalie de Cernon ซึ่งเป็นหมู่บ้านเล็กๆและประชากรมีจำนวนน้อยประกอบผู้คนในชุมชนส่วนมากประกอบอาชีพเกษตรกรจึงไม่ค่อยมีการเดินทางไปไหน

หลังจากที่ปิดเส้นทางการเดินทางโดยรถไฟของสถานีแห่งนี้ได้ 59ปี จึงมีบริษัทเอกชนเข้ามาทำการสัมปทานเพื่อจัดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเมื่อปี 2009 โดยจัดให้มีการขี่จักรยานไปตามรางรถไฟ ซึ่งจักรยานนี้คล้ายกับรถถ่อที่เป็นยานพาหนะของเจ้าหน้าที่การรถไฟไทยถ่อค้ำยันให้แล่นไปบนรางรถไฟ แต่ต่างกันตรงที่นี่บนรถถ่อมีจักรยานที่ติดกับรถถ่อ 2 คันซ้าย-ขวาและด้านหลังมี่ที่นั่งได้ประมาณ 2-3 คน  ซึ่งการขี่จักรยานนี้เริ่มจากสถานีรถไฟ Sainte Eulalie de Cernon ไปสิ้นสุดที่สถานีรถไฟ La Bastide Pradines ซึ่งมีระยะทางประมาณ 8 กิโลเมตร โดยเส้นทางรถไฟนี้จะแล่นผ่านสะพานขนาดใหญ่ 3 สะพานและผ่านอุโมงค์ 4 อุโมงค์ ไฮไลท์ของทริปการขี่จักรยานบนทางรถไฟนี้ก็ตรงที่การชมวิวทิวทัศน์สองข้างทางที่เต็มไปด้วยป่าและพืชพรรณไม้นานาชนิด, สะพานหินโค้งแบบยุโรป, กำแพงหินสูง 2ข้างทางรถไฟ, รวมถึงการขี่จักรยานลอดผ่านอุโมงค์ที่มืดตื้อและหนาวมากเนื่องจากไม่มีแสงแดดรอดผ่าน พอผ่านเข้าไปในอุโมงค์มีความรู้สึกทั้งกลัวทั้งสนุกที่กลัวก็เพราะในอุโมงค์ทั้งมืดทั้งหนาว ส่วนที่กล่าวว่าสนุกเพราะไปกันหลายคนทุกคนต่างโห่ร้องด้วยความสนุกและตื่นเต้น (หรือว่าที่โห่ร้องเพราะกลัวความมืดเหมือนกันเลยส่งเสียงไว้ก่อน..อิอิ) และที่ว่าสนุกๆนี่ให้ขี่จักรยานเข้าไปคนเดียว นพฬวรรณไม่เอาแน่ๆ..หุหุ..เมื่อรอดพ้นอุโมงค์ก็เจอกับแสงสว่างจ้าอีกครั้ง (แสบตากันเลยที่นี้) ครั้นมองลงไปด้านล่างภูเขาก็จะเห็นที่ราบลุ่มด้านล่างและเห็นชุมชนเล็กๆอยู่ลิบๆ นอกจากนั้น 2 ข้างยังมีเจ้าต้นแบล็กเบอร์รี(แต่คนฝรั่งเศสเรียกมูร์ : Mûre)ที่เราสามารถเก็บผลของมันทานได้ ผลที่สุกทานได้จะเป็นสีม่วงส่วนผลสีแดงๆนั้นไม่ทานกันเพราะยังดิบอยู่

สภาพรถจักรยานที่คล้ายกับรถถ่อของเจ้าหน้าที่การรถไฟที่เมืองไทย แต่ที่นี่ไม่ต้องใช้ไม้ค้ำถ่อ เพราะใช้ 2 ขาปั่นๆๆ..อิอิ
ยิ้มแป้นทำท่าทำทางเหมือนว่าจะขี่จักรยานเองงั้นแหละ..

ที่นั่งด้านหลังของจักรยาน



 ในการขี่จักรยานไปตามทางรถไฟนี้ จักรยานคันของเราคุณสามีกับเพื่อนตำรวจของเธอเป็นคนถีบจักรยานส่วนนพฬวรรณและภรรยาของเพื่อนคุณสามีนั่งกินลมชมวิวอยู่ด้านหลังพร้อมกับความหนาวสะท้าน ช่วงไหนวิวสวยๆ นพฬวรรณก็จะลงไปดูวิวสวยๆของต้นไม้และทุ่งหญ้าด้านล่าง ช่วงไหนเจอลูกแบล็กเบอร์รี พวกเราก็จะหยุดรถลงไปเก็บลูกแบล็กเบอร์รีทานกัน พร้อมทั้งถ่ายรูปเป็นระยะๆ ซึ่งภรรยาเพื่อนสามีขำนพฬวรรณและพูดประมาณว่า.."เธอเหมือนนักท่องเที่ยวชาวจีนเลยเห็นอะไรก็ถ่ายรูปไปหมด"..นพฬวรรณเลยบอกว่าเพราะเราต้องการเขียนบล็อกเล่าเรื่องการมาเที่ยวครั้งนี้ค่ะ แต่ในใจก็คิดว่าบ้านฉันไม่มีนี่หน่าลูกแบล็กเบอร์รี่อะไรนี่น่ะ บ้านฉันมีแต่ลูกตะขบ..อิอิ ถ้าเธอมาเที่ยวบ้านฉันแล้วเห็นวิวสวยๆ, เห็นควายบ้านฉัน, เห็นกองฟางที่เป็นพุ่มสูงๆเหมือนภูเขา (ต่างจากบ้านเธอที่กองฟางม้วนเป็นก้อนกลมๆเหมือนสก็อตเทป)หรือมาเจอฉันปีนต้นตะขบเก็บลูกตะขบทานแทนที่จะเป็นเก็บลูกแบล็กเบอร์รีทาน เธอก็ต้องตื่นเต้นและถ่ายรูปวิว, รูปควาย , รูปกองฟาง หรือถ่ายรูปฉันปีนต้นตะขบแน่นอน..อิอิ..ที่ฝรั่งเศสตามท้องทุ่งจะเลี้ยงวัวเลี้ยงแพะกัน ไม่มีเลี้ยงควายแบบบ้านเราและบางเมืองจะเลี้ยงกระทิงกันด้วย อย่างเช่นเมืองAigues Mortesซึ่งเป็นเมืองที่นพฬวรรณอาศัยอยู่และอยู่ทางภาคใต้ของฝรั่งเศสจะเลี้ยงกระทิงกัน เคยพาลูกสาวไปดูเทศกาลกระทิงที่เมือง Aigues Mortes ซึ่งมีเกษตรกรโชว์การขี่ม้าต้อนกระทิงลงน้ำ ลูกสาวอยู่เมืองไทยไม่เคยเห็นกระทิงตัวเป็นๆมาก่อนเคยเห็นแต่ควาย..เมื่อลูกสาวเห็นกระทิงจึงถามว่าทำไมควายที่นี่ขนเยอะและตัวเล็กจัง เลยบอกลูกไปว่า "ลูกคะ..นั่นนะกระทิงไม่ใช่ควายค่ะลูก..อิอิ"



ขี่จักรยานมาได้นิดนึง..จอดก่อนค่ะ..นพฬวรรณขอถ่ายรูปผู้โดยสารกับ 2พนักงานหนุ่ม(วีไอพี)ที่ขี่จักรยานให้นั่งหน่อย..


ขณะที่รถจักรยานกำลังจะเข้าอุโมงค์

ขณะถีบจักรยานผ่าน2 ข้างทางที่เป็นกำแพงหินสูง





ขณะถีบรถจักรยานอยู่บนสะพานมองเห็นความสวยงามของวิวทิวทัศน์ที่เป็นสะพานหินโค้งแบบยุโรปพาดผ่านหุบเขาและต้นไม้เขียวขจี























โฉมหน้าเจ้าลูกแบล็กเบอร์รีที่เก็บทานสดๆไม่ล้างกันเลย..
ทำให้ได้บรรยากาศเหมือนเดินป่ากันเลยทีเดียว..อิอิ
ต้นนี้เรียกอะไรไม่ทราบค่ะแต่เพื่อนบอกว่าลูกแดงๆนี้
มีพิษทานไม่ได้ ไม่ได้อยากทานค่ะแค่อยากถ่ายรุปเฉยๆ..





คนทริปนี้เห็นลูกแบล็กเบอร์รี่ปั๊บเป็นหยุดลงไปเก็บทานกันเป็นล่ำเป็นสัน..อิอิ..

 พวกเราใช้เวลาในการถีบจักรยานไป(หนาวสั่นไป)หยุดไปเพื่อชมวิวทิวทัศน์ข้างทางบ้าง เก็บหยุดลูกแบล็กเบอร์รี่บ้างลงไปถ่ายรูปบ้าง ใช้เวลาประมาณชั่วโมงกว่าพวกเราก็มาถึงสถานีรถไฟ  La Bastide Pradines ซึ่งเป็นสถานีรถไฟปลายทางและหยุดให้บริการแล้วเช่นกัน พวกเราก็หยุดพักและซื้อเครื่องดื่มอุ่นๆอย่าง ชาร้อน กาแฟร้อนและช็อกโกแล็ตร้อนดื่มกัน ค่อยยังชั่วหน่อย ช่วงนั่งดื่มเครื่องดื่มร้อนๆก็ไปเจอกับกล่องสี่เหลี่ยมเหมือนบ้านหลังน้อยและทาสีสรรสดใส นั่งส่องดูสักพักเห็นเขียนคำว่า "Miel " แปลว่าน้ำผึ้ง ถึงได้รู้ว่าเป็นกล่องที่ทำเพื่อให้ผึ้งทำรังเพื่อเก็บน้ำผึ้ง และมองไกลออกไปบนภูเขาก็เห็นกล่องแบบนี้หลายใบสีสรรสดใส..รู้แล้วเลี้ยงผึ้งด้วยนี่เอง และก็ได้น้ำผึ้งที่มาจากดอกไม้นานาพันธ์ุติดไม้ติดมือกลับบ้านมาด้วย ราคาจะแพงกว่าน้ำผึ้งที่ซื้อตามซุปเปอร์มาร์เก็ต (ขวดบรรจุ 250 กรัมราคา 5ยูโรประมาณ 200 บาท) แต่เรามั่นใจได้ว่าเป็นน้ำผึ้งแท้ 100% เพราะซื้อจากแหล่งที่ผลิตเองเลย

กล่องที่ทำขึ้นเพื่อให้ผึ้งมาทำรัง(ทาสีซะ) ซึ่งที่เมืองไทยในการเลี้ยงผึ้งก็สร้างกล่องประมาณนี้เช่นกัน

พักเหนื่อยกันสักครู่พวกเราก็เดินทางกลับไปที่สถานรถไฟต้นทางแต่ขากลับไม่ถีบแล้วค่ะจักรยานเพราะพวกเรากลับโดยรถไฟแต่บูกี้ที่นั่งเป็นแบบช่วงหน้าต่างเปิดโล่งให้มองเห็นวิวทิวทัศน์ข้างทางอีกรอบและพักเหนื่อยกันไปในตัว เมื่อกลับมาถึงสถานีรถไฟต้นทางSainte Eulalie de Cernon แล้ว รถนำเที่ยวก็พาพวกเราไปทานอาหารกลางวันกัน ซึ่งเป็นการทานอาหารกลางวันที่ร้านอาหารในท้องทุ่งกว้างที่หมู่บ้าน Gaillac(กายล้าก)และเป็นการปรุงอาหารตามแบบฉบับของชาวอเวรอน จะเป็นอย่างไรนั้นติดตามอ่านกันในตอนต่อไปนะค่ะ

ขากลับไม่ถีบแล้วจักรยานเพราะสูงวัยกันแล้ว..เลยนั่งรถไฟกลับกันแต่เป็นรถไฟที่ช่วงหน้าต่างเปิดโล่งเพื่อให้เห็นวิวทิวทัศน์ 2 ข้างทาง..คนอื่นเค้าชมวิวกันแต่พี่ 2 คนอ่ะ คุยไรกันอยู่..เพลินเชียว..คริ คริ..




ช่วงขากลับก็ยังคงฟินกับความสวยงามของธรรมชาติ ยืนเกาะขอบหน้าต่างรถไฟมองดูวิวไปเรื่อยๆและสูดอากาศสดชื่นให้เต็มปอด

















































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น